Welcome to WordPress. This is your first post. Edit or delete it, then start writing!
- ตั้งแต่มนุษย์รู้จักทองคำเมื่อ 6,000 ปีก่อน ทองคำ ก็กลายเป็นโลหะยอดนิยมของทุกชาติ ทุกภาษา ทุกวัฒนธรรม มีการกล่าวถึงทองคำในตำนาน ความเชื่อ พิธีกรรม ไปจนบันทึกลายลักษณ์อักษรของหลากหลายชาติ ในฐานะตัวชี้วัดความเจริญก้าวหน้าของแต่ละอารยธรรม จนกระทังชี้เป็นชี้ตายให้กับอาณาจักรได้เลยนะจ๊ะ
- ในบางวัฒนธรรม โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย เชื่อว่านอกจาก “มูลค่า” แล้วทองคำยังมี “คุณค่า” ในฐานะยารักษาโรค ช่วยเยียวยาระบบการไหลเวียนของโลหิต เช่น จีนมีความเชื่อว่าทองนั้นเป็นส่วนผสมของยาอายุวัฒนะ ในขณะที่ทางฝั่งตะวันตก มีความเชื่อว่าทองคำมีส่วนช่วยเพิ่มบำรุงผิวพรรณอีกด้วย
ทองคำโลหะที่ถูกให้ค่าในทุกยุค

“…เงินทองให้เต็มห้องเต็มห่อถ้าไม่พอขอให้ท่านถูกหวยอ่ะขอให้รวยขอให้รวยยยยย…”
เอ้า! สวัสดีจ้ะสาว ๆ วันนี้มาพบกับเจ๊ทองช่วยผู้ช่วยอันดับหนึ่งเรื่อง ทองคำ คนดีคนเดิมกันอีกครั้งนะจ๊ะ วันนี้ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมตั้งแผงแล้วอารมณ์ดี ร้องเพลง ฮัมเพลงไปเรื่อยเปื่อย อ้าวววว คุณขา คนมีทองมันต้องแจ่มใสอารมณ์ดีเปล่งปลั่งเป็นธรรมดา ไม่เชื่อลองมาซื้อทองกับเจ๊ไปใส่ดูสิจ๊ะ สดชื่นแจ่มใสแน่นอน
แล้วที่ฮัม ๆ เพลงกันอยู่เนี่ย เจ๊ไม่ได้ฮัมไร้สาระนะคะ เจ๊กำลังคิดอยู่พอดีจ้ะ ว่าวันนี้จะเม้ามอยเรื่องราวดี ๆ เกี่ยวกับเรื่อง “ทองคำในวัฒนธรรมนานาชาติ” วุ้ยยยย คุณขา พอเริ่มต้นคิดแล้วข้อมูลมันก็ไหนมาเทมา มองง่าย ๆ วัฒนธรรมร่วมสมัย หรือที่ในภาษาปะกิดเขาเรียกว่า Pop Culture นี่ แค่เรื่องเพลงก็คิดออกได้เป็นร้อย อย่างเพลง “ขอให้รวย” ที่เจ๊ฮัมอยู่นี่ไงจ๊ะ แล้วก็ไม่ใช่แค่นี้ คิดย้อนไปแล้ว “ทองคำ” อยู่กับมนุษย์เรามาอย่างน้อย ๆ ตั้ง 6,000 ปีแล้วนะจ๊ะ แล้วพื้นฐานการใช้ทองคำของทุกวัฒนธรรมก็คล้ายกัน คือ หลอมขึ้นรูปเป็นเครื่องประดับแสดงอำนาจวาสนาบารมีในสังคม นิยมนำทองคำไปสร้างเทวรูป รูปเคารพของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บุคคลผู้มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่มาแต่ไหนแต่ไร เรียกว่าทองคำที่แหละที่เป็น “วาระแห่งชาติ” มาทุกยุค!

เริ่มกันที่ชาวอียิปต์โบราณ เค้ามีความเชื่อกันว่าทองคำคือร่างกายของเทพเจ้า อย่างที่ให้ในหนัง God of Egypt นั่นแหละ ทองคำเลยเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอมตะ ชาวอิยิปต์เลยนำทองคำบริสุทธิ์มาสร้างเป็นโลงพระศพของฟาโรห์และเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง เพราะเชื่อว่านอกจากกระบวนการทำมัมมี่แล้ว ทองคำจะช่วยรักษาสภาพพระศพได้ดียิ่งขึ้น แถมในระหว่างเดินทางอยู่ในยมโลกกับท่านเทพอนูบิส (เทพแห่งความตายที่มีพระเศียรเป็นหมาไนนั่นแหละจ้า) วิญญาณก็จะได้ใช้ทองคำในการเปิดทางขึ้นสวรรค์เพื่อรอวันที่จะฟื้นคืนจากความตายกลับมาอีกครั้งตามความเชื่อในศาสนาโบราณ
ตัวอย่างที่ชัดเจนและโด่งดังที่สุดก็หนีไม่พ้นสุสานของฟาโรห์ตุตันคามุน เจ้าของหน้ากากทองคำที่เป็นหน้าปกหนังสือตำนานอิยิปต์ทั้งหลายนั่นแหละจ๊ะ แล้วนอกจากหน้ากากแล้วในสุสานของพระองค์ ยังมีมหาสมบัติทองคำมากมายไว้ให้ทรงใช้หลังจากฟื้นคืนชีพ ไม่เพียงแค่สำหรับคนตายเท่านั้น ทองคำก็จำเป็นสำหรับคนเป็นยิ่งกว่า อย่างพระนางคลีโอพัตรา ทุกคืนที่เข้าบรรทมก็จะทรงสวมหน้ากากทองคำ เพราะเชื่อว่าจะช่วยรักษาความงามความอ่อนเยาว์ของผิวพรรณไว้ได้

ข้ามฟากมาทางยุโรปกันบ้าง สำหรับชาวยุโรปนั้น มีคำกล่าวถึงทองคำตั้งแต่บันทึกในคัมภีร์ไบเบิ้ลเลยจ้ะ บางข้อความก็เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไปด้วยพร้อม ๆ กัน เช่น บัลลังก์ที่กษัตริย์โซโลมอน (Solomon) ประทับทำด้วยทองคำทั้งชิ้น หรือกระทั่งสงครามศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุโรปอย่าง “สงครามครูเสด” ก็มีตำนานเรื่องขุมทรัพย์ทองคำของเหล่าอัศวินครูเสด ตำนานจอกศักดิ์สิทธิ์ของอัศวินเทมพลาร์ ที่เอามาใช้สร้างหนังสร้างซีรีส์กันได้ไม่รู้จักจบสิ้น
หรือจะย้อนไปไกลหน่อยในสมัยกรีก ยูริพิดีส (Euripides) นักปราชญ์เจ้าของบทประพันธ์โศกนาฏกรรมกรีกโบราณทั้งหลาย เคยกล่าวเปรียบเปรยของ “คลั่งทอง” ของคนกรีกโบราณไว้ว่า “ในสายตาของคนบางคนทองคำมีอำนาจสูงสุดเหนือเหตุและผล” นับเป็นคำพังเพยเปรียบเปรยถึง “ทอง” ยุคแรกๆ เลยทีเดียว
ไม่เพียงเท่านั้น เทพนิยายกรีกยังมีตำนานของกษัตริย์ไมดาส (Midas) แห่งเมืองฟรีเจีย (Phrygia) ทรงได้รับพรจากมหาเทพซุส (Zeus) ให้พระองค์เป็นผู้มั่งคั่งไม่มีวันจบสิ้น ด้วยเหตุที่ถ้าทรงสัมผัสอะไรก็ตามสิ่งนั้นจะกลายเป็นทองคำไปทุกอย่าง (อื้อหือออออ) ตอนแรกก็ทรงบันเทิง ผลิตทองคำเป็นว่าเล่น แต่ทำไมทำมาก็เป็นเรื่องเจ้าค่ะ เพราะทีนี้ทรงหิวขึ้นมา กับข้าวกับปลาที่ทรงจับก็กลายเป็นทองคำไปซะงั้น ที่พีคที่สุดคือเมื่อพระองค์ทรงจุมพิตแก้มของพระธิดา…ใช่จ้ะ พระธิดากลายเป็นรูปปั้นทองคำไปเฉย ! จึงต้องกลับไปอ้อนวอนขอให้มหาเทพซุสถอนพรทิ้งเถิด มหาเทพเลยแนะนำให้พระองค์ไปล้างพระหัตถ์ในแม่น้ำแพกโตลัส (Pactolus) ละอองทองคำจากพระหัตถ์ก็เลยเจือจางไปปนกับหินดินทรายตะกอนแม่น้ำ จึงเป็นที่มาว่าทำไมทรายจึงมีสีเหลืองของทองคำ
ต่อจากยุคกรีกก็เข้าสู่ยุคโรมันบ้าง ในยุคนี้มีบันทึกว่า เมื่อครั้งที่กรุงโรมถูกเบรนนุส (Brennus) หัวหน้าเผ่าเซลต์ (Senones) ยึดเมืองได้นั้น ชาวโรมันต้องเสียทองคำถึงหนึ่งพันปอนด์เพื่อเป็นค่าไถ่กรุงโรม ซึ่งคงจะทำให้ชาวโรมเจ็บใจอยู่ไม่น้อย เพราะทองคำนั้นได้ชื่อว่าสำคัญต่อภาพลักษณ์ความมั่งคั่งของชาวโรมมาก มีการสร้างเหรียญทองคำขึ้นใช้ เพราะมีหลักฐานของเหรียญทองคำเหล่านี้กระจัดกระจายไปทั่ว
ที่ฮือฮาก็คือ ไม่นานมานี้ยังค้นพบเหรียญทองคำมูลค่านับล้านยูโรในอิสราเอลโดยบังเอิญเลยจ้า ไม่แปลกใจเลยที่ว่าโรมันยิ่งใหญ่ ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรมนั้นเห็นจะเป็นเรื่องจริง และเป็นจริงด้วยความมั่งคั่งในทองคำนี่แหละ ! เพราะนอกจากเรื่องเศรษฐกิจการค้าแล้ว ชาวโรมันยังเชื่อกันด้วยว่าทองคำช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์สร้างความมั่นใจนำพาความสำเร็จมาให้เจ้าของอีกด้วย

ข้ามซีกโลกมาที่ อเมริกาใต้กันต่อ ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เมื่อกองทัพนักล่าอาณานิคมของสเปนเดินทางถึงทวีปอเมริกาใต้ นักประวัติศาสตร์สเปนชื่อ ฆวน เด กาสเตลยาโนส (Juan de Castellanos) ได้เขียนบันทึกว่า ชาวเมืองบูริติซา (Buritisa) ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศโบโกตา (Bogota) ล้วนมีความเชื่อว่า ทองคำคือสิ่งเดียวที่ทำให้พวกเขาสามารถดำรงชีวิตอยู่
นอกจากนี้ ชาวแอสเท็กซ์ ชนพื้นเมืองในยุคโบราณของทวีปอเมริกาใต้มีความเชื่อว่า ทองคำคือหยาดเหงื่อของสุริยเทพ เพราะมีสีเหลือง สุกปลั่งเหมือนแสงอาทิตย์ กล่าวกันว่าพระราชาของแอสเท็กซ์ เมื่อจะทำพิธีขึ้นครองราชย์ประชาชนจะพากันนำก้อนยางพาราคลุกฝุ่นทองคำมาประกบติดกับพระวรกาย ให้เหมือนกับสุริยเทพบนโลกมนุษย์ จึงเป็นที่มาของคำว่า เอล โดราโด (El Dorado) ที่เราคุ้นหูกันนั่นแหละจ้า ซึ่งคำนี้แปลว่า บุรุษทองคำ นั่นเอง
ทว่าน่าเสียดายอยู่ตรงที่กิตติศัพท์บุรุษทองคำของชนพื้นเมืองอเมริกาใต้ดันไปเข้าหูชาวสเปนเข้าเจ้าอาณานิคมรายนี้จึงยกพลเดินทางมาโลกใหม่แล้วรื้อทำลายจักรวรรดิอินคาและแอสเท็กซ์เพื่อแย่งชิงทองคำปริมาณมหาศาลในตำนานจนบ้านเมืองและอารยธรรมพื้นเมืองต้องล่มสลาย

กลับมาทางฝั่งเอเชียของเรากับบ้าง เริ่มที่พี่ใหญ่แดนมังกรกันเลยจ๊ะ ชาวจีนนั้น มีความเชื่อว่าทองคำเป็นยาบำรุงชั้นเลิศ และเป็นส่วนผสมของยาอายุวัฒนะอีกด้วย เชื่อกันว่าจิ๋นซีฮ่องเต้ มหาจักรพรรดิผู้รวมแผ่นดินจีนผู้นี้ก็แสวงหาทางต่อสู้กับศัตรูคนสุดท้าย นั่นก็คือความตาย ด้วยการแสวงหาความเป็นอมตะด้วยวิธีการต่าง ๆ โดยเฉพาะการเล่นแร่แปรธาตุ กระทั่งการปรุงยาจากทองคำและโลหะต่าง ๆ แต่น่าเสียดายว่าหนึ่งในโลหะที่ทรงเชื่อว่าเป็นอายุวัฒนะแขนงหนึ่งอย่างปรอท ความจริงแล้วกลับเป็นสาเหตุหลักที่คร่าชีวิตพระองค์เองแทนที่จะยืดอายุ
ในยุคต่อ ๆ มานั้นโชคดีที่ราชสำนักหันมาสนใจทองคำแทนปรอทไปเสียได้ ราชสำนักจีนนั้นมีการใช้ลูกกลิ้งที่ทำจากทองคำมานวดตามร่างกายเพื่อถนอมผิว แถมยังเชื่อกันว่าทองคำมีประโยชน์ต่อการทำงานของหัวใจและช่วยบำรุงเลือดและปรับสมดุลธาตุต่างๆ ในร่างกายให้ทำงานได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ชาวจีนยังเชื่อว่าทองคำ คือสัญลักษณ์แห่งโชคลาภ จึงใช้เป็นของขวัญสำหรับมอบให้แห่กัน ในช่วงเทศกาลสำคัญ ๆ อย่างตรุษจีน เป็นต้น
ทางด้านแดนภารตะอย่าง ชาวอินเดีย ทองคำนั้นไม่ได้เป็นเพียงเครื่องแสดงฐานะทางสังคมเท่านั้น หากยังมีบทบาทแทบจะในทุกช่วงชีวิตตั้งแต่เกิด มีธรรมเนียมอินเดียว่า เมื่อเด็กเกิดใหม่ ผู้ที่เป็นยายจะนำทองคำจุ่มน้ำผึ้ง แล้วนำน้ำผึ้งที่ติดอยู่บนทองคำนั้นไปหยดใส่ปากเด็กแรกเกิด เพื่ออวยพรให้เกิดโชคดีแก่เด็ก และตลอดช่วงหกเดือนแรกเด็กน้อยมักจะได้รับของขวัญเป็นเครื่องประดับทองคำต่าง ๆ เช่น ต่างหู กำไล สร้อยคอ จนถึง สายคาดเอว
แล้วโดยเฉพาะในพิธีแต่งงานที่จะใช้ทองคำประดับประดาภายในงาน ใช้แต่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวให้สวยงามที่สุด จนได้ชื่อว่าเป็นชาติที่ใช้ทองคำในพิธีแต่งงานมากที่สุดในโลก ! แถมยังมีเทศกาลสำหรับซื้อทองคำใส่กันโดยเฉพาะด้วยนะ (เอากับเค้าสิ !) ชื่อว่า เทศกาลอักษะทริติยา ซึ่งอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ถือกันว่าเป็นเวลามงคลสำหรับซื้อทองคำตามปฏิทินฮินดู จนมีปริมาณการซื้อทองคำสูงยิ่งกว่าทุกวันของปี จนทำให้ราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งขึ้นเสมอ สายเปย์ที่แท้

และปิดท้ายที่บ้านเรา ประเทศไทย สถานที่บนภาคพื้นทวีปที่ได้ฉายาว่า “สุวรรณภูมิ” หรือ แผ่นดินทอง ที่มีทั้งสายแร่ทองคำอยู่จริง ๆ สมชื่อแล้ว ยังมีความอุดมสมบูรณ์มากอีกด้วย ในเมืองไทยเรานั้นเรื่องราวของการใช้ทองคำอาจย้อนไปถึงสมัยอาณาจักรเชียงแสนโน่นเลยก็ว่าได้ เพราะมีหลักฐานพระพุทธรูปหล่อด้วยทองคำซึ่งมีศิลปะแบบเชียงแสน หลงเหลือมาจนตอนนี้
แล้วทองก็ผูกพันกับคนไทยในทุกชนชั้น ทุกช่วงชีวิต อยากไพร่ฟ้าราษฎรทั้งหลายนั้น เวลาหมั้นหรือแต่งงาน ฝ่านหญิงก็จะเรียกสินสอดจากฝ่ายชาย เพื่อเป็นการทดสอบความจริงจังตั้งใจ มีหลักฐานมั่นคงของฝ่ายชายที่จะดูแลครอบครัวได้ ซึ่งส่วนมากฝ่ายชายก็มักจะใช้ทองเป็นสินสอดกัน ทั้งแบบเป็นทองคำแท่งให้ฝ่ายหญิงเอาไปแปรรูปใช้ได้ตามประสงค์ หรือทองรูปพรรณให้ใส่กันเลยก็ได้ จนเกิดวลี “สินสอดทองหมั้น” เลยทีเดียว
ส่วนในราชสำนัก ก็ใช้ทองคำแสดงสถานะสมมติเทพของพระราชวงศ์ ทั้งเครื่องอิสริยยศ เครื่องราชูปโภค ข้าวของเครื่องใช้ของพระมหากษัตริย์ล้วนเป็นทองคำ กระทั่งพระราชสาส์นที่ส่งไปเจริญสัมพันธไมตรีกับนานาอารยประเทศก็เขียน (จาร) ลงบนแผ่นทองคำ ไปพร้อมเครื่องราชบรรณาการมีค่าต่าง ๆ ที่ทำด้วยทองคำและวัสดุมีค่าอื่น ๆ
กระทั่งมีการถวายทองคำใช้ในการศาสนา ทั้งเป็นเครื่องทรงเทวรูปต่าง ๆ หรือหล่อเป็นพระพุทธรูป สร้างเป็นสิ่งของถวายเป็นพุทธบูชา เป็นต้น
จึงไม่ต้องแปลกใจที่ว่าชาติไหน ภาษาใดก็ตาม ต่างนิยมซื้อทองมาสะสมหรือแลกเปลี่ยนของมีค่าต่าง ๆ เป็นทองเก็บไว้ เพราะนอกจากทองจะเป็นของที่ไม่ชำรุดแตกหักฉีกขาดได้ง่ายอย่างธนบัตร ยังเป็นสินทรัพย์ที่ซื้อหาแลกเปลี่ยนกันได้ง่ายกว่าสินทรัพย์อื่นในโลก เรียกได้ว่าเป็น “ค่าเงินสากลของทั้งโลก” เลยก็ว่าได้ การซื้อทองเก็บไว้จึงคล้ายกับเป็นการออมทรัพย์ ไม่ต่างกับการฝากเงินไว้กับธนาคารเลย ดังนั้น เริ่มต้นเก็บทองกันตั้งแต่วันนี้ ยังไงก็มีแต่เฮง เฮง เฮง ขึ้นทุกวัน อ่ะ เผื่อไม่เชื่อกัน ลองไปตามศึกษาเรื่องทองคำกันต่อได้เลยค่ะอย่ารอช้า ที่ ก่อน ซื้อทอง ต้องดูอะไรบ้าง
แล้วถ้ายังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไงล่ะก็ ขอให้มองมาทางเจ๊ทองช่วยคนนี้ ที่ขอแนะนำ ทองช่วย Platform ใหม่ล่าสุดที่เสมือนยกร้านทองมาไว้ในในมือคุณทั้งทองคำแท่งทองรูปพรรณหลากหลายลวดลายอัพเดทราคาทองทันที ไม่ว่าจะเป็น ทองชิ้นเล็ก ไปถึงชิ้นใหญ่ชิ้นโตพร้อมข้อมูลดีๆ เรื่องทองที่เชื่อถือได้และเป็นประโยชน์อีกมากมาย